ไฟฟ้าเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ตั้งแต่การเปิดไฟในบ้าน การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการชาร์จโทรศัพท์มือถือ แต่ทุกท่านเคยสงสัยไหมว่า ไฟฟ้าที่เราใช้กันอยู่นั้นมีกี่ประเภท และแต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร? ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับไฟฟ้าสองประเภทหลัก นั่นคือ ไฟกระแสตรง และไฟกระแสสลับ รวมไปถึงความแตกต่าง ข้อดีข้อเสีย และการประยุกต์ใช้งานของไฟฟ้าทั้งสองประเภทนี้ เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจพื้นฐานของระบบไฟฟ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น

ไฟกระแสตรง

ไฟกระแสตรง Direct Current หรือ ที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไฟDC ไฟกระแสตรงจะไหลในทิศทางเดียวอย่างต่อเนื่อง โดยมีขั้วบวกและขั้วลบที่คงที่ แหล่งพลังงานทั่วไปของไฟกระแสตรง  ได้แก่ แบตเตอรี่ลิเธียม เซลล์แสงอาทิตย์ และอะแดปเตอร์ไฟฟ้า เนื่องจากแบตเตอรี่สามารถให้แหล่งพลังงานที่คงที่และสม่ำเสมอตราบใดที่ยังมีประจุเพียงพอ เช่น แบตเตอรี่โทรศัพท์ แบตเตอรี่ในรีโมทโทรทัศน์ และแบตเตอรี่รถยนต์  เป็นต้น

ข้อดีของไฟกระแสตรง:

  • เหมาะสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์พกพา
  • สามารถเก็บสะสมในแบตเตอรี่ได้ง่าย
  • มีประสิทธิภาพสูงในการใช้งานระยะใกล้

ข้อเสียของไฟกระแสตรง:

  • ส่งจ่ายไฟในระยะไกลได้ไม่ดี เนื่องจากสูญเสียพลังงานมากในการส่งกระแสไฟผ่านสายไฟ
  • ปรับเปลี่ยนแรงดันได้ยากกว่ากระแสไฟสลับ

ไฟกระแสสลับ

ไฟกระแสสลับ Alternating Current หรือ ที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไฟAC ไฟกระแสสลับจะไหลสลับไปมาระหว่างขั้วบวกและขั้วลบเป็นระยะๆ โดยเปลี่ยนทิศทางการไหลอยู่ตลอดเวลา แหล่งพลังงานทั่วไปของไฟกระแสสลับ ได้แก่ เต้าเสียบไฟฟ้าในบ้านและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

ข้อดีของไฟกระแสสลับ:

  • สามารถส่งจ่ายในระยะไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสูญเสียพลังงานน้อย
  • สามารถเปลี่ยนแรงดันได้ง่ายด้วยการใช้หม้อแปลงไฟฟ้า
  • เหมาะสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือเครื่องปรับอากาศ

ข้อเสียของไฟกระแสสลับ:

  • ไม่สามารถเก็บสะสมในแบตเตอรี่ได้โดยตรง ต้องแปลงเป็นไฟกระแสตรงก่อน
  • อาจก่อให้เกิดการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าในบางกรณี

การแปลงไฟ AC เป็น DC และ DC เป็น AC ทำได้อย่างไร?

ในโลกปัจจุบันที่มีทั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพา การแปลงกระแสไฟฟ้าจากแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งกลายเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เป็นกระแสตรง (DC) และในทางกลับกัน มาดูกันว่ากระบวนการเหล่านี้ทำอย่างไรบ้าง

การแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) เป็นกระแสตรง (DC)

การแปลงไฟจาก AC เป็น DC มักเกิดขึ้นในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดที่ต้องใช้ไฟฟ้ากระแสตรงภายใน

  • เครื่องมือที่ใช้เรียกว่า “Rectifier” (วงจรเรียงกระแส)
    Rectifier จะทำหน้าที่แปลงไฟ AC ที่สลับทิศทางตลอดเวลา ให้กลายเป็นไฟ DC ที่ไหลในทิศทางเดียวอย่างสม่ำเสมอ

  • ตัวอย่างเช่น อะแดปเตอร์ของโทรศัพท์มือถือ หรือ ปลั๊ก USB Charger ต่างก็มีวงจรนี้อยู่ภายใน

การแปลงไฟฟ้ากระแสตรง (DC) เป็นกระแสสลับ (AC)

ในบางกรณี เช่น การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่หรือแผงโซลาร์เซลล์ที่ให้ไฟ DC แต่ต้องการใช้งานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ใช้ไฟ AC จึงจำเป็นต้องแปลงจาก DC ไปเป็น AC

  • เครื่องมือที่ใช้เรียกว่า “Inverter” (อินเวอร์เตอร์)
    อินเวอร์เตอร์จะเปลี่ยนไฟ DC ให้กลายเป็น AC โดยเลียนแบบคลื่นไซน์ (sine wave) ที่ใกล้เคียงกับไฟบ้าน

  • ตัวอย่างเช่น ระบบโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ที่ต้องใช้อินเวอร์เตอร์เพื่อจ่ายไฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในบ้าน

หลังจากอ่านจบ ทุกท่านก็พอจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับไฟกระแสตรงและกระแสไฟสลับกันแล้วใช่มั้ยล่ะครับ การที่เราเข้าใจความแตกต่างและข้อดีข้อเสียของไฟฟ้าทั้งสองประเภทนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลือกใช้เพียงประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นโอกาสที่เราจะได้ใช้ประโยชน์จากทั้งสองระบบอย่างเต็มที่ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างไฟกระแสตรงและไฟกระแสสลับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกและใช้งานระบบไฟฟ้าอย่างเหมาะสมนั่นเองครับ