รู้จัก 1G ถึง 5G: วิวัฒนาการของเครือข่ายมือถือ และความแตกต่างของระบบ 3G, 4G, 5G

ตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ หรือจะโลกอินเตอร์เน็ต เรามักจะได้ยินศัพท์ที่พูดกันว่า 3G บ้าง 4G บ้าง หรือแม้แต่ 5G ก็เริ่มฟังคุ้นหูกันแล้ว โดยที่ได้ยินกันบ่อยๆคงไม่พ้นเรื่องของความเร็วอินเตอร์เน็ตจากค่ายโทรศัพท์มือถือบ้านเรานั่นเอง

สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ทุกอย่างจะรวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกถ่ายโอนภายในแทบจะทันที แต่ก่อนที่ประเทศไทยเราจะไปถึง 5G ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนานั้น เรามาทำความรู้จักความเป็นมาของ 1G 2G 3G และ 4G กันก่อนดีกว่า

ระบบ 3G 4G 5G มีที่มาอย่างไร

รู้กันไหมเอ่ยว่า ตัว G ในคำว่า 1G, 2G, 3G, 4G รวมถึง 5G นั้น มาจากคำว่า Generation แปลว่ายุค, สมัย, รุ่น เมื่อรวมกับตัวเลขด้านหน้าจะหมายถึงยุคของเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้

ยุค 1G (1st Generation)

ยุค 1G (1st Generation) ยุคแรกเริ่มเป็นระบบ อนาล็อก (Analog) เราอาจคุ้นตากับโทรศัพท์เครื่องเล็กบางเฉียบอย่างโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีก่อน ต้นกำเนิดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอดีตมีขนาดที่ใหญ่มาก ใครรู้จักโทรศัพท์รุ่นกระดูกหมาหรือรุ่นกระติกน้ำบ้าง?

ระบบอนาล็อกคือการใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง (Voice) โดยสามารถโทรออก-รับสายได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งส่งรูปหรือข้อความ แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะในยุคนั้นผู้คนยังไม่มีความจำเป็นในการใช้งานอื่นๆ นอกจากการโทรเข้าออกอยู่แล้ว นอกจากนี้ในยุคนั้น กลุ่มคนที่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเวลานั้น มักเป็นผู้มีฐานะหรือนักธุรกิจที่ใช้ติดต่องาน เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเวลานั้นมีราคาสูงมาก ในประเทศไทยบ้านไหนมีพกไว้เป็นการบ่งบอกฐานะของบ้านนั้นเลยทีเดียว

ยุค 2G (2nd Generation)

ยุค 2G (2nd Generation) ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และเฟื่องฟูของตลาดโทรศัพท์มือถือ เพราะมีการเปลี่ยนระบบการส่งคลื่นสัญญาณวิทยุแบบอนาล็อค มาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอล (Digital) แทน

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ นอกจากเราจะโทรศัพท์คุยกันได้ด้วยเสียงแล้ว เราสามารถส่งข้อความ SMS ได้อีกด้วย

ถัดมาได้มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้นอกจากส่งข้อความ SMS แล้วยังสามารถส่ง MMSได้อีกด้วย การพัฒนาของโทรศัพท์ยุคนี้ทำให้หน้าจอการแสดงผลเริ่มมีลักษณะหน้าจอสี และมีความเร็วในการใช้งานที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก

การพัฒนาทางเทคโนโลยีในยุคนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันทางการตลาดของวงการโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการดาวน์โหลดเสียงรอสาย, Ringtone, การรับ-ส่งภาพผ่าน MMS ดาวน์โหลดภาพต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสู่ยุคต่อไป

ยุค 3G (3rd Generation)

ยุค 3G (3rd Generation) เข้าสู่ยุค 3G ที่เราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ความโดดดเนของยุคนี้คือความเร็วในการเชื่อมต่อที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดดจากระบบเก่า เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการโทรทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต (นึกถึงการโทรแบบไลน์), การโทรแบบเห็นหน้าหรือ Video Call, การดูทีวีหรือวีดิโอออนไลน์, เล่นเกมออนไลน์, การดาวน์โหลดที่มีความรวดเร็วกว่าระบบ 2 G อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (Always On) อธิบายง่ายๆคือ จะมีการเตือน (Alert) ขึ้นมาทันที หากมีอีเมล์เข้ามาเช่น ลูกค้าส่งอีเมลล์กลับ หรือมีการส่งข้อความต่างๆ จากโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตของเราโปรโมชั่นร้านขายออนไลน์ที่เราติดตามอยู่เด้งขึ้นมาเพื่อเตือนสินค้าลดราคาที่เรากำลังสนใจอยู่ เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี UMTS ( Universal Mobile Telecommunications System) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก ระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps

ยุค 4G (4th Generation)

ยุค 4G (4th Generation) ถึงแม้ว่าเราจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โหลดได้รวดเร็วมากขึ้น คนทั้งโลกถูกเชื่อมเข้าหากัน รู้จักกันแม้จะอยู่ห่างกันขั้วโลก แต่ก็มีมีหลายครั้งที่เราต้องประสบกับปัญหาสัญญาณข้ดข้อง ดู YouTube แล้วภาพกระตุกบ้าง ค้างบ้าง ไม่โหลดบ้าง วีดิโอกับแฟนอยู่ๆก็ไม่สามารถทำได้เพราะเน็ตไม่สเถียร หรือแม้แต่การสื่อสารเพื่อทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ก็ให้เกิดการพัฒนาให้โลกเข้าสู่ยุค 4G

ยุค 4G เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากระบบไร้สายในอดีตทั้งหมด ทั้ง 1G, 2G และ 3G มารวมกันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้น การพัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 Mpbs ทำให้การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์มีความคมชัด และไม่มีการกระตุก นอกจากนี้การสื่อสารข้ามประเทศที่ไม่มีติดขัด การประชุมสายเพื่อวีดิโอคอล หรือที่เราชินกับคำว่า Group Call เป็นเรื่องง่ายขึ้นและยังมีค่าใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย

สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในยุค 4G นี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบด้วยกัน คือ WiMAX (Worldwide Interoperability of Microwave Access) และ LTE (Long Term Evolution) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่มาช่วยในเรื่องของการรับส่งข้อมูลให้เร็วขึ้นกว่าในยุคก่อนๆ นั่นเอง โดยในส่วนของ WiMax นั้นนิยมใช้แค่ในบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, บังคลาเทศ ซึ่ง LTE นั้นเป็นที่นิยมใช้มากกว่ารวมถึงบ้านเราด้วยเช่นกัน

ยุค 5G (5th Generation)

ยุค 5G (5th Generation) ในยุคสมัยของ 5G นี้ จะเป็นยุคแห่งข้อมูล โดยจะไม่ได้จำกัดแค่การใช้งานกับอุปกรณ์ Smart Phone, Tablet หรือ Computer แต่จะหมายถึง อุปกรณ์ในยุคนี้ทั้งหมด จะถูกเปลี่ยนแปลงให้รองรับการใช้งาน Data ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง IOT  และเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ จึงเกิดเป็น Big Data และนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างก้าวกระโดดตามมา

ยุค 5G สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และทำความเร็วได้สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด ได้ที่ 10-50Gbps กันเลยทีเดียวครับ   นอกจากความเร็วแล้ว ยังสามารถเพิ่มความจุในการรองรับอุปกรณ์ Smart Device ได้เยอะขึ้นเช่นกัน ซึ่งเดิมทีอุปกรณ์พวกนี้ทำงานแยกกัน แต่สำหรับยุค 5G อุปกรณ์ต่างๆ จะสามารถพูดคุยสื่อสารกันเองได้ อุปกรณ์จะมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Connected Car คือการที่รถยนต์แต่ละคันบนท้องถนน สื่อสารกัน แจ้งตำแหน่ง ทิศทางการเคลื่อนที่และความเร็วต่อกัน ทำให้รถยนต์สามารถ หลบหลีกกันเองได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และลดปัญหาการจราจรติดขัดได้มากขึ้น

ในยุคของ 5G ได้เริ่มเกิดขึ้นและใช้งานกันแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐาน คือ MIMO (Multiple Input Multiple Output – 64-256 antennas) ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงกว่า 4G มีความแรงและเร็วกว่า ถึง 20เท่า รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น 10เท่า การตอบสนองไวขึ้น ความไวระดับ 1ใน1000วินาที เรียกได้ว่าแทบจะทันทีที่เรามีการสั่งงานลงไป อุปกรณ์ที่รับคำสังจะสามารถตอบสนองเราได้โดยไม่รู้สึกถึงความหน่วงเลย

สรุปวิวัฒนาการโดยย่อของแต่ละยุค

  • 1G เป็นระบบ อนาล๊อค เซลลูล่า AMPS, TACS มีการรับส่ง voice อย่างเดียว
  • 2G เป็นระบบ ดิจิตอล เซลลูล่า (GSM), GPRS,EDGE มีการรับส่ง ทั้ง voice, data และ MMS, ความเร็ว 10-437Kbps
  • 3G เป็นระบบ ดิจิตอล WCDMA, HSPA, HSPA+ มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media ความเร็ว 384Kbps-30Mbps
  • 4G เป็นระบบ ดิจิตอล LTE, Wi-MAX, VOLTE , LTE Advance มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed ความเร็ว 30Mbps-1Gbps
  • 5G เป็นระบบ ดิจิตอล NR and eLTE  (ที่กำลังจะมาไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า) มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed, IoT ความเร็ว 6.4Gbps

สอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/spabattery
https://www.spabattery.com
หรือ Line : @spabattery นะครับ