รู้จัก 1G ถึง 6G: วิวัฒนาการของเครือข่ายมือถือ และความแตกต่างของระบบ 3G, 4G, 5G, 6G

ตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ หรือจะโลกอินเตอร์เน็ตเรามักจะได้ยินคำว่า 3G, 4G, 5G ที่ใช้งานกันแล้วในปัจจุบัน และ 6G ที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในอนาคต คำเหล่านี้มักถูกพูดถึงบ่อยโดยเฉพาะเรื่องของความเร็วอินเตอร์เน็ตจากค่ายโทรศัพท์มือถือบ้านเรานั่นเอง

สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ทุกอย่างจะรวดเร็วมากขึ้น ข้อมูลจำนวนมหาศาลจะถูกถ่ายโอนภายในแทบจะทันที แต่ก่อนที่ประเทศไทยเราจะไปถึง 6G ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนานั้น เรามาทำความรู้จักความเป็นมาของ 1G 2G 3G 4G และ 5G กันก่อนดีกว่า

แต่ละระบบมีที่มาอย่างไร

รู้กันไหมเอ่ยว่า ตัว G ในคำว่า 1G, 2G, 3G, 4G, 5G รวมถึง 6G นั้น มาจากคำว่า Generation แปลว่ายุค, สมัย, รุ่น เมื่อรวมกับตัวเลขด้านหน้าจะหมายถึงยุคของเทคโนโลยีการสื่อสาร โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้

ยุค 1G – Analog Voice (1979-1990s)

ยุค 1G (1st Generation) ยุคแรกเริ่มเป็นระบบ อนาล็อก (Analog) เราอาจคุ้นตากับโทรศัพท์เครื่องเล็กบางเฉียบอย่างโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบัน แต่ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 40 ปีก่อน ต้นกำเนิดของโทรศัพท์เคลื่อนที่ในอดีตมีขนาดที่ใหญ่มาก ใครรู้จักโทรศัพท์รุ่นกระดูกหมาหรือรุ่นกระติกน้ำบ้าง?

ระบบอนาล็อกคือการใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง (Voice) โดยสามารถโทรออก-รับสายได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งส่งรูปหรือข้อความ แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะในยุคนั้นผู้คนยังไม่มีความจำเป็นในการใช้งานอื่นๆ นอกจากการโทรเข้าออกอยู่แล้ว นอกจากนี้ในยุคนั้น กลุ่มคนที่สามารถใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ในเวลานั้น มักเป็นผู้มีฐานะหรือนักธุรกิจที่ใช้ติดต่องาน เนื่องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ในเวลานั้นมีราคาสูงมาก ในประเทศไทยบ้านไหนมีพกไว้เป็นการบ่งบอกฐานะของบ้านนั้นเลยทีเดียว

ยุค 2G – Digital Voice & SMS (1991-2000s)

ยุค 2G (2nd Generation) ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง และเฟื่องฟูของตลาดโทรศัพท์มือถือ เพราะมีการเปลี่ยนระบบการส่งคลื่นสัญญาณวิทยุแบบอนาล็อค มาเป็นการเข้ารหัสดิจิตอล (Digital) แทน

การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือ นอกจากเราจะโทรศัพท์คุยกันได้ด้วยเสียงแล้ว เราสามารถส่งข้อความ SMS ได้อีกด้วย

ถัดมาได้มีการนำเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูลให้มีการรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น ทำให้นอกจากส่งข้อความ SMS แล้วยังสามารถส่ง MMSได้อีกด้วย การพัฒนาของโทรศัพท์ยุคนี้ทำให้หน้าจอการแสดงผลเริ่มมีลักษณะหน้าจอสี และมีความเร็วในการใช้งานที่สูงขึ้นกว่าเดิมมาก

การพัฒนาทางเทคโนโลยีในยุคนี้ ทำให้เกิดการแข่งขันกันทางการตลาดของวงการโทรศัพท์มือถือมากขึ้น ทั้งในเรื่องของการดาวน์โหลดเสียงรอสาย, Ringtone, การรับ-ส่งภาพผ่าน MMS ดาวน์โหลดภาพต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้งาน ทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานสู่ยุคต่อไป

ยุค 3G – Mobile Internet (2001–2010s)

ยุค 3G (3rd Generation) เข้าสู่ยุค 3G ที่เราเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ความโดดดเนของยุคนี้คือความเร็วในการเชื่อมต่อที่เรียกได้ว่าก้าวกระโดดจากระบบเก่า เพื่อรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้สามารถส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียงในระบบไร้สายด้วยความเร็วที่สูง ซึ่งก่อให้เกิดการใช้งานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นการโทรทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ต (นึกถึงการโทรแบบไลน์), การโทรแบบเห็นหน้าหรือ Video Call, การดูทีวีหรือวีดิโอออนไลน์, เล่นเกมออนไลน์, การดาวน์โหลดที่มีความรวดเร็วกว่าระบบ 2 G อย่างมาก

นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา (Always On) อธิบายง่ายๆคือ จะมีการเตือน (Alert) ขึ้นมาทันที หากมีอีเมล์เข้ามาเช่น ลูกค้าส่งอีเมลล์กลับ หรือมีการส่งข้อความต่างๆ จากโปรแกรมทางอินเทอร์เน็ตของเราโปรโมชั่นร้านขายออนไลน์ที่เราติดตามอยู่เด้งขึ้นมาเพื่อเตือนสินค้าลดราคาที่เรากำลังสนใจอยู่ เป็นต้น

สำหรับประเทศไทยได้นำเทคโนโลยี UMTS ( Universal Mobile Telecommunications System) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบเครือข่ายมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนามาจาก ระบบมาตรฐานคลื่นความถี่ GSM ที่มีเทคโนโลยีหลักคือ W-CDMA ต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเทคโนโลยี HSPA+ ที่สามารถรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึง 42 Mbps

ยุค 4G – Broadband Mobile (2009-2020s)

ยุค 4G (4th Generation) ถึงแม้ว่าเราจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โหลดได้รวดเร็วมากขึ้น คนทั้งโลกถูกเชื่อมเข้าหากัน รู้จักกันแม้จะอยู่ห่างกันขั้วโลก แต่ก็มีมีหลายครั้งที่เราต้องประสบกับปัญหาสัญญาณข้ดข้อง ดู YouTube แล้วภาพกระตุกบ้าง ค้างบ้าง ไม่โหลดบ้าง วีดิโอกับแฟนอยู่ๆก็ไม่สามารถทำได้เพราะเน็ตไม่สเถียร หรือแม้แต่การสื่อสารเพื่อทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ก็ให้เกิดการพัฒนาให้โลกเข้าสู่ยุค 4G

ยุค 4G เป็นการพัฒนาต่อยอดมาจากระบบไร้สายในอดีตทั้งหมด ทั้ง 1G, 2G และ 3G มารวมกันเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้น การพัฒนาในเรื่องความเร็วในการรับส่งข้อมูล ที่ทำได้เร็วขึ้นถึง 100 Mpbs ทำให้การดูไฟล์วีดิโอออนไลน์มีความคมชัด และไม่มีการกระตุก นอกจากนี้การสื่อสารข้ามประเทศที่ไม่มีติดขัด การประชุมสายเพื่อวีดิโอคอล หรือที่เราชินกับคำว่า Group Call เป็นเรื่องง่ายขึ้นและยังมีค่าใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย

สำหรับเทคโนโลยีที่ใช้ในยุค 4G นี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระบบด้วยกัน คือ WiMAX (Worldwide Interoperability of Microwave Access) และ LTE (Long Term Evolution) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ เป็นเทคโนโลยีไร้สายที่มาช่วยในเรื่องของการรับส่งข้อมูลให้เร็วขึ้นกว่าในยุคก่อนๆ นั่นเอง โดยในส่วนของ WiMax นั้นนิยมใช้แค่ในบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, บังคลาเทศ ซึ่ง LTE นั้นเป็นที่นิยมใช้มากกว่ารวมถึงบ้านเราด้วยเช่นกัน

ยุค 5G – Ultra-Fast, Low Latency (2019-ปัจจุบัน)

ยุค 5G (5th Generation) ในยุคสมัยของ 5G นี้ จะเป็นยุคแห่งข้อมูล โดยจะไม่ได้จำกัดแค่การใช้งานกับอุปกรณ์ Smart Phone, Tablet หรือ Computer แต่จะหมายถึง อุปกรณ์ในยุคนี้ทั้งหมด จะถูกเปลี่ยนแปลงให้รองรับการใช้งาน Data ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่ง IOT  และเมื่ออุปกรณ์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ จึงเกิดเป็น Big Data และนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี AI อย่างก้าวกระโดดตามมา

ยุค 5G สามารถรองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ และทำความเร็วได้สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยสามารถทำความเร็วสูงสุด ได้ที่ 10-50Gbps กันเลยทีเดียวครับ   นอกจากความเร็วแล้ว ยังสามารถเพิ่มความจุในการรองรับอุปกรณ์ Smart Device ได้เยอะขึ้นเช่นกัน ซึ่งเดิมทีอุปกรณ์พวกนี้ทำงานแยกกัน แต่สำหรับยุค 5G อุปกรณ์ต่างๆ จะสามารถพูดคุยสื่อสารกันเองได้ อุปกรณ์จะมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Connected Car คือการที่รถยนต์แต่ละคันบนท้องถนน สื่อสารกัน แจ้งตำแหน่ง ทิศทางการเคลื่อนที่และความเร็วต่อกัน ทำให้รถยนต์สามารถ หลบหลีกกันเองได้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และลดปัญหาการจราจรติดขัดได้มากขึ้น

ในยุคของ 5G ได้เริ่มเกิดขึ้นและใช้งานกันแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเทคโนโลยีพื้นฐาน คือ MIMO (Multiple Input Multiple Output – 64-256 antennas) ซึ่งทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงกว่า 4G มีความแรงและเร็วกว่า ถึง 20เท่า รองรับผู้ใช้งานได้มากขึ้น 10เท่า การตอบสนองไวขึ้น ความไวระดับ 1ใน1000วินาที เรียกได้ว่าแทบจะทันทีที่เรามีการสั่งงานลงไป อุปกรณ์ที่รับคำสังจะสามารถตอบสนองเราได้โดยไม่รู้สึกถึงความหน่วงเลย

ยุค 6G – Future Vision (คาดว่าจะเปิดตัวช่วง 2030s)

ยุค 6G (6th Generation) คือยุคที่ต่อจาก 5G  ซึ่งอยู่ในช่วงพัฒนาและทดสอบมาตั้งแต่ประมาณปี 2020 ตัวของ 6G ไม่ได้พัฒนามาเพื่อเพิ่ม “ความเร็ว” เพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกออกแบบให้เป็น เครือข่ายอัจฉริยะที่เรียนรู้ ปรับตัว และเข้าใจการใช้งานของผู้ใช้ โดยเน้นการเชื่อมต่อความเร็วสูงถึงระดับ Tbps (1 terabit ต่อวินาที) และการใช้งานคลื่นความถี่ในช่วง sub-THz ถึง THz (100 GHz–3 THz) ซึ่งเร็วกว่า 5G หลายสิบเท่า

ยุค 6G จะไม่ใช่เชื่อมต่อเพียงแค่คนกับอุปกรณ์ แต่รวมถึง เครื่องจักรกับเครื่องจักร (Machine-to-Machine), โลกจริงกับโลกเสมือน (ผ่าน AR/VR แบบสมจริง), และ โลกกับอวกาศ (ผ่านเครือข่ายดาวเทียม LEO และ HAPS) ทำให้การเชื่อมต่อเกิดขึ้นได้แม้ในพื้นที่ห่างไกลหรือสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ที่สำคัญคือ ระบบเครือข่ายในยุคนี้จะมี AI ฝังอยู่ในโครงสร้างตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง (AI-Native Network) ทำให้สามารถปรับเปลี่ยน จัดสรรทรัพยากร และตอบสนองตามพฤติกรรมผู้ใช้งานโดยอัตโนมัติได้อย่างชาญฉลาด

เครือข่าย 6G จะเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนทดลองเชิงพาณิชย์ในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2025–2027 และคาดว่าจะพร้อมให้บริการเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบประมาณปี 2030  โดยใช้เทคโนโลยีหลัก เช่น MIMO ขั้นสูง (เสาอากาศมากกว่า 256 ต้น), คลื่น Terahertz, Edge Computing, และการใช้ AI ในการบริหารเครือข่ายทั้งหมด

เรียกได้ว่า ยุค 6G คือการหลอมรวมของโลกจริง โลกดิจิทัล และโลกอัจฉริยะ ไว้ในเครือข่ายเดียว เพื่อรองรับเพื่อรองรับรูปแบบการใช้ชีวิตในอนาคตที่เชื่อมโยงทุกสิ่งอย่างไร้ขอบเขตนั่นเอง

สรุปวิวัฒนาการระบบเครือข่ายโดยย่อของแต่ละยุค

  • 1G เป็นระบบ อนาล๊อค เซลลูล่า AMPS, TACS มีการรับส่ง voice อย่างเดียว
  • 2G เป็นระบบ ดิจิตอล เซลลูล่า (GSM), GPRS,EDGE มีการรับส่ง ทั้ง voice, data และ MMS, ความเร็ว 10-437Kbps
  • 3G เป็นระบบ ดิจิตอล WCDMA, HSPA, HSPA+ มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media ความเร็ว 384Kbps-30Mbps
  • 4G เป็นระบบ ดิจิตอล LTE, Wi-MAX, VOLTE , LTE Advance มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed ความเร็ว 30Mbps-1Gbps
  • 5G เป็นระบบ ดิจิตอล NR and eLTE  ในปัจจุบันที่มีการรับส่ง มีการรับส่ง ทั้ง voice, data, MMS, VDO call, Media, high speed, IoT ความเร็ว 6.4Gbps
  • 6G เป็นระบบดิจิตอลขั้นสูง รองรับ Metaverse, Hologram, Digital Twin, XR (Extended Reality), ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ คาดว่าจะมีความเร็วสูงสุด 1 Tbps โดยใช้คลื่นความถี่ Terahertz (THz) และระบบ AI ช่วยจัดการเครือข่าย

สอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://www.facebook.com/spabattery
https://www.spabattery.com
หรือ Line : @spabattery นะครับ